เป็นหวัดบ่อย แผลหายช้า รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา ระวัง นี่อาจเป็นสัญญาณว่าภูมิคุ้มกันของคุณกำลังลดลง รู้ทันอาการและสาเหตุ ก่อนสุขภาพพังโดยไม่รู้ตัว วันนี้เราได้รวมเอา 5 สัญญาณบ่งบอกว่า " ร่างกายภูมิตก " มาฝาก เพื่อให้ทุกคนได้สังเกตตัวเองก่อนสายเกินแก้
5 อาการร่างกายภูมิตก เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำร่างกายมักจะติดเชื้อโรคและป่วยได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาการภูมิตกที่ควรสังเกตมีดังนี้
- มักเป็นหวัดบ่อย ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ
- เป็นโรคติดต่อเดิมซ้ำหลายครั้ง เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคไข้หวัดใหญ่ และอาจติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียเดิมบ่อย ๆ เช่น ติดเชื้อราในปาก ภาวะหูอักเสบ เป็นร้อนใน ผู้หญิงมีตกขาวที่มีสีหรือกลิ่นผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะภูมิคุ้มกันต่ำที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย
- แผลหายช้าเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันซึ่งมีหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายรักษาตัวเองอ่อนแอลง
- รู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนล้าตลอดเวลา
- ระบบทางเดินอาหารมีปัญหาทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องร่วง หรือน้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ
สาเหตุของอาการภูมิตก
- อาการภูมิตกหรือภูมิคุ้มกันต่ำเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจเป็นมาตั้งแต่เกิดเนื่องจากพันธุกรรม หรือเป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง รวมไปถึงวิธีการใช้ชีวิตบางอย่างก็อาจทำให้ภูมิคุ้มกันตกลงได้ด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำได้แก่
- การใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ขาดโปรตีน ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ รวมถึงมีความเครียดเป็นเวลานานก็สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำได้
- โรคมะเร็งส่งผลต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดในระบบภูมิคุ้มกันซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันตก
- การติดเชื้อ HIV ที่โจมตีและทำลายเซลล์ของระบบร่างกายในการป้องกันโรคนั้น ส่งผลให้เกิดโรค AIDS ซึ่งถือเป็นโรคประเภทของการขาดแคลนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- การบริหารยาซึ่งกระทบกระเทือนต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกายจนนำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาทิน้ำยาระงับการอักเสบที่ชื่อว่า コルチコステロイド (Corticosteroids), เครือข่ายยากดความแข็งแรงในการป้องกันโรค, น้ำยายาสำหรับบรรเทามะเร็ง และการฟื้นฟูกู้จากการได้รับสารเคมีในทางการแพทย์
วิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
1. กินอาหารที่มีประโยชน์
การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์พร้อมสาร питательจำพวกต่างๆ จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบภูมิคุ้มกัน ในขณะเดียวกัน วิตามิน แร่ธาตุ และโปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการทำงานของเซลล์ในระบบนี้ ก็จะถูกเพิ่มเข้าไปจากการรับประทานอาหาร ส่งผลดีโดยรวมของการบริหารอาหารแบบครบทั้งห้ากลุ่มและการบริโภควัตถุดิบธรรมชาติเช่นผักและผลไม้ เพื่อป้องปรายโรคภัยและความอ่อนแอของระบบภูมิคุ้มกัน
2. ออกกำลังกาย
การฝึกฝนแบบสม่ำเสมอนั้นมีประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ของระบบรักษาโรคในร่างกาย เพื่อให้มันดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังทำให้เซลล์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับการกำจัดเชื้อไวรัสและโรคร้ายแรง อีกทั้งยังช่วยบรรเทาความเครียด ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
3. นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับที่เพียงพอและตรงตามตารางเวลานั้นมีผลทำให้ระบบร่างกายของเรามีการทำงานในทางปฏิกิริยาที่เหมาะสมและสร้างภูมิต้านทานได้อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อรับวัคซีน จะช่วยปรับปรุงความสามารถในการปกป้องตนเองจากเชื้อไวรัส นอกจากนี้ การนอนอย่างครบถ้วนยังอาจบรรเทาอาการของการเกิดภูมิแพ้อีกด้วย เพราะการนอนพักผ่อนที่เพียงพอจะมอบพลังงานแก่ระบบภูมิคุ้มกันของเราสำหรับการทำลายเชื้อก่อโรคร้าย และเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างภายใน เพื่อรับมือกับการโจมตีจากเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ในขณะเดียวกัน หากเราเป็นผู้ใหญ่ เราควรมีการนอนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อมอบโอกาสให้ร่างกายของเราฟื้นฟูกำลังและความสามารถในการทำงานอยู่ในระดับสูงสุดของระบบภูมิคุ้มกัน
4. หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอลล์
การสูบบุหรี่กระทบทัพทานาลภาพภายในร่างกายในการต่อกรกับโรคร้าย ทำให้มีโอกาสเสียหายจากเชื้อโรคและการป่วยมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังลดปริมาณสารแอนติก Oxidant ในกระแสเลือดไปพร้อมๆ กัน อีกด้านหนึ่ง หากดื่มน้ำเมาแค่วันละสองสามแก้ว จะสามารถจำกัดความสามารถของระบบรักษาสมดุลทางสรีรวิทยาได้นานจนถึง 24 ชั่วโมง มันอาจจะชะลอความเร็วของการฟื้นฟูกำลังพลเมืองจากการบาดเจ็บหรือการเข้าสู่ภาวะผิดปกติตามธรรมชาติ และทำให้อาวุธประจำกายของเราอ่อนแอลงไป การพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำงานประสิทธิภาพยิ่งขึ้นของทัพทานาลภาพร่างกาย